ทีมนักวิจัยพบว่าไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เดลตา (พบครั้งแรกในอินเดีย) ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อออกอาการป่วยถึงขั้นต้องเข้าโรงพยายาลในอัตราส่วนที่มากกว่าสายพันธุ์อัลฟาประมาณ 2 เท่า
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากประชากร 5.4 ล้านคนในสกอตแลนด์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนถึง 6 มิถุนายนที่ผ่านมาหลังปรับอัตราส่วนของอายุและโรคร่วมแล้ว ชี้ให้เห็นว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาเพิ่มความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประมาณสองเท่าจากสายพันธุ์เดิมที่ระบาดในพื้นที่นี้คือสายพันธุ์อัลฟา สายพันธุ์เดลตาในเวลานี้พบว่าเริ่มระบาดในสหรัฐอเมริกาจนนับจำนวนได้ 10% ของสายพันธุ์เดิม และจำนวนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 2 เท่าในทุก 2 สัปดาห์ จนทีการประเมินกันว่าสายพันธุ์เดลตาจะเข้ามาระบาดแทนสายพันธุ์เดิมจนกลายเป็นสายพันธุ์หลักในที่สุด
ข่าวดีคือพบว่าวัคซีนบางตัวยังใช้กับสายพันธุ์เดลตานี้ได้ เบื้องต้นพบว่าหากฉีดครบ 2 โดสแล้ว วัคซีนไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคให้การป้องกันการติดเชื้อ 79% ในขณะที่วัคซีนอ็อกซ์ฟอร์ด/แอสตร้าเซเนกาให้การป้องกันการติดเชื้อ 60%
ในด้านการป้องกันอาการป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้น พบว่า หากฉีดครบ 2 โดสแล้ว วัคซีนไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคให้การป้องกัน 96% ในขณะที่วัคซีนอ็อกซ์ฟอร์ด/แอสตร้าเซเนกาให้การป้องกัน 92%
คำแนะนำคือควรให้ประชากรในพื้นที่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาได้รับวัคซีนดังกล่าวครบ 2 โดสให้เร็วที่สุด
จากข้อมูลของ Public Health England ชี้ว่าไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เดลตามีอัตราการส่งถ่ายเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อัลฟาที่ระบาดอยู่ในอังกฤษเวลานี้ถึง 64%
งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสาร The Lancet